เมนู

พวกภิกษุอุจเฉทวทะ ทูลว่า อุจเฉทวาที มีปกตรัสว่า ขาดสูญ.
พวกภิกษุทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ทูลว่า ทิฏฐธัมมนิพพานวาที
มีปกติตรัสว่า พระนิพพานมีอยู่ในปัจจุบัน (ภพปัจจุบัน*).

[พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้สึกพวกที่มิใช่ภิกษุหกหมื่นรูป]


พระราชาทรงทราบว่า เหล่านี้ไม่ใช่ภิกษุ, เหล่านี้เป็นอัญเดียรถีย์
ก็เพราะพระองค์ได้ทรงเรียนเอาลัทธิมาก่อนนั่นเอง จึงพระราชทานผ้าขาวแก่
เธอเหล่านั้น แล้วให้สึกเสีย. เดียรถีย์เหล่านั่นแม้ทั้งหมดมีจำนวนถึงหกหมื่นคน.
ลำดับนั้น พระราชาทรงรับสั่งให้อาราธนาภิกษุเหล่าอื่นมา แล้วตรัส
ถามว่า
กึวาที ภนฺเต สมฺมาสมฺพุทฺโธ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ !
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลายทูลว่า วิภชฺชวาที มีปกติตรัสจำแนกมหาบพิตร !
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสถามพระเถระว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิภัชชวาที ( มีปกติตรัส
จำแนกหรือ ? ) พระเถระทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! ลำดับนั้น
พระราชาทรงรับสั่งว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธิ์
แล้ว, ขอภิกษุสงฆ์จงทำอุโบสถเถิด ดังนี้ พระราชทานอารักขาไว้แล้ว เสด็จ
เข้าไปยังพระนคร. สงฆ์พร้อมเพรียงได้ประชุมทำอุโบสถแล้ว. ในสันนิบาต
นั้นมีภิกษุจำนวนถึงหกสิบแสนรูป.
* พวกภิกษุที่แสดงทิฏฐิความเห็นทั้ง 10 อย่างนี้ พึงดูพิสดารในพรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย
สีลขันธกถา เล่ม 9 ตั้งแต่หน้า 18 ถึงหน้า68 เมื่อจำแนกออกโดยละเอียดก็ได้แก่ทิฏฐิ 62
นั่นเอง.


[พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเลือกภิกษุพันรูปทำตติยสังคายนา]
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เมื่อจะย่ำยีคำกล่าวติเตียนของชนเหล่าอื่น
จึงได้แสดง* กถาวัตถุปกรณ์ในสมาคมนั้น. ลำดับนั้น พระเถระ ได้คัดเลือก
บรรดาภิกษุซึ่งนับได้มีจำนวนหกสิบแสนรูป เอาเฉพาะภิกษุหนึ่งพันรูป ผู้ทรง
ปริยัติ คือพระไตรปิฎก แตกฉานในปฏิสัมภิทา ชำนาญในไตรวิชชาเป็นต้น
เมื่อจะสังคายนาธรรมและวินัย ได้ชำระมลทินในพระศาสนาทั้งหมด จึงได้ทำ
ตติยสังคีติเหมือนอย่างพระมหากัสสปเถระ และพระยสเถระ สังคายนาธรรม
และวินัยฉะนั้น. ในที่สุดแห่งสังคีติ ปฐพีก็ได้หวั่นไหว เป็นอเนกประการ.
สังคีติซึ่งทำอยู่ 9 เดือน จึงสำเร็จลงนี้
ที่ท่านเรียกในโลกว่า สหัสสิกสังคีติ
เพราะภิกษุพันรูปกระทำ และเรียกว่า
ตติยสังคีติ เพราะเทียบกับสังคีติ 2 คราว
ที่มีมาก่อนด้วยประการฉะนี้.

ตติยสังคีติจบ
* สารัตถทีปนี 1/228 เป็น อภาสิ.

เรื่องนำพระวินัยปิฎกสืบต่อกันมา


ก็เพื่อจะวิสัชนาปัญหานี้ว่า พระวินัยปิฎก ผู้ใดนำสืบมา ข้าพเจ้าจึง
ได้กล่าวคำใดไว้ว่า พระวินัยปิฎกนี้ นำสืบกันมาตามลำดับอาจารย์ ตั้งต้น
แต่ท่านพระอุบาลีเถระ ในครั้งชมพูทวีก่อน จนถึงตติยสังคีติ, ในครั้ง
ชมพูทวีนั้น มีการนำสืบกันมาตามลำดับอาจารย์ ดังนี้:-
พระเถระ 5 รูปเหล่านี้คือ พระอุบาลี
1 พระทาสกะ 1 พระโสณกะ 1 พระ-
สิคควะ 1 พระโมคคัลลีบุตรติสสะ 1 ผู้มี
ชัยชนะพิเศษ ได้นำพระวินัยมา ในทวีป
ชื่อชมพูอันมีสิริไม่ให้ขาดสาย โดยสืบดำลับ
แห่งอาจารย์จนถึงสังคายนาครั้งที่ 3.

เนื้อความแห่งคำนั้น เป็นอันข้าพเจ้าประกาศแล้ว ด้วยคำมีประมาณ
เพียงเท่านี้.

[รายนามพระเถระผู้นำพระวินัยปิฏกสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้]


อนึ่ง ต่อจากตติยสังคายนา พระเถระทั้งหลายมีพระมหินท์เป็นต้น
ได้นำพระวินัยปิฎกมาสู่เกาะนี้ (คือเกาะลังกา) , พระเถระทั้งหลายมีพระ-
อริฏฐเถระเป็นต้น เรียนเอาจากพระมหินท์แล้ว ได้นำสืบกันมาชั่วระระหนึ่ง,
ตั้งแต่เวลาที่พระอริฏฐเถระเป็นต้นนั้นนำมา บัณฑิตพึงทราบว่า พระวินัยปิฎก
นี้ ได้นำกันสืบมาตามลำดับอาจารย์ ซึ่งจัดว่าเป็นลำดับอันเตวาสิกของท่าน
พระอริฏฐเถระเป็นต้นเหล่านั้นนั่นเอง จนถึงทุกว่านี้ สมดังที่พระโบราณาจารย์
ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า