เมนู

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! นกเป็นอันมาก
เข้าใจว่า ญาติของพวกเราจับอยู่แล้ว จึงพา
กันมา นายพรานอาศัยข้าพเจ้าย่อมถูกต้อง
กรรม เมื่อนายพรานอาศัยข้าพเจ้าทำบาป
นั้น ใจข้าพเจ้า ย่อมสงสัย ว่า (บาปนั้น
จะมีแก่ข้าพเจ้า หรือหนอ ?).

พระดาบส ตอบว่า ก็ท่านมีความคิด ( อย่างนี้ ) หรือว่า ขอนก
ทั้งหลายเหล่านี้มา เพราะเสียง และเพราะเห็นรูปของเราแล้วจงถูกแร้ว หรือ
จงถูกฆ่า
นกกระทา เรียนว่า ไม่มี ท่านผู้เจริญ
ลำดับนั้น ดาบสจึงให้นกกระทานั้นเข้าใจยินยอมว่า ถ้าท่านไม่มีความ
คิดไซร้ บาปก็ไม่มี แท้จริง กรรมย่อมถูกต้องบุคคลผู้คิดอยู่เท่านั้น หาถูกต้อง
บุคคลผู้ไม่คิดไม่
ถ้าใจของท่าน ไม่ประทุษร้าย (ใน
การทำความชั่ว) ไซร้ กรรมที่นายพราน
อาศัยท่านกระทำ ก็ไม่ถูกต้องท่าน บาปก็
ไม่ติดเปื้อนท่าน ผู้มีความขวนขวายน้อย
ผู้เจริญ (คือบริสุทธิ์).

[พระเจ้าอโศกทรงชำระเสี้ยนหนามแห่งพระพุทธศาสนา]


พระเถระ ครั้น (ถวายวิสัชนา) ให้พระราชาทรงเข้าพระทัยอย่างนั้น
แล้ว พักอยู่ในพระราชอุทยานในพระนครนั้นนั่นแล ตลอด 7 วัน แล้วให้

พระราชาทรงเรียนเอาลัทธิสมัย (แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) . ในวันที่ 7
พระราชาทรงรับสั่งให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันที่วัดอโศการาม ให้ขึงม่านผ้า
กั้นไว้ แล้วประทับนั่งอยู่ภายในม่านผ้า ทรงรับสั่งให้จัดพวกภิกษุ ผู้มีลัทธิ
เดียวกันให้รวมกันอยู่เป็นพวก ๆ แล้วรับสั่งให้นิมนต์หมู่ภิกษุมาทีละหมู่
แล้วตรัสถามว่า
กึวาที สมฺมาสมฺพุทฺโธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร ?
ลำดับนั้น พวกภิกษุสัสสตวาที ทูลว่า สัสสตวาที มีปกติตรัสว่า
เที่ยง.
พวกภิกษุเอกัจจสัสสติกา ทูลว่า เอกัจจสัสสติกวาที มีปกติตรัสว่า
บางอย่างเที่ยง.
พวกภิกษุอันตานันติกา ทูลว่า อันตานันติกวาที มีปกติตรัสว่า
โลกมีที่สุดและไม่มีที่สุด.
พวกภิกษุอมราวิกเขปิกา ทูลว่า อมราวิกเขปิกวาที มีปกติตรัส
ถ้อยคำซัดส่ายไม่ตายตัว.
พวกภิกษุอธิจจสมุปปันนิกา ทูลว่า อธิจจสมุปปันนิกวาที มีปกติ
ตรัสว่า ตน และโลกเกิดขึ้นลอย ๆ ไม่มีเหตุ.
พวกภิกษุสัญญิวาทะ ทูลว่า สัญญิวาที มีปกติตรัสว่า ตน มี
สัญญา.
พวกภิกษุอสัญญีวาทะ ทูลว่า อสัญญิวาที มีปกติตรัสว่า ตนไม่มี
สัญญา.
พวกภิกษุเนวสัญญินาสัญญิวาทะ ทูลว่า เนวสัญญินาสัญญิวาที
มีปกติตรัสว่า ตนมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่.


พวกภิกษุอุจเฉทวทะ ทูลว่า อุจเฉทวาที มีปกตรัสว่า ขาดสูญ.
พวกภิกษุทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ทูลว่า ทิฏฐธัมมนิพพานวาที
มีปกติตรัสว่า พระนิพพานมีอยู่ในปัจจุบัน (ภพปัจจุบัน*).

[พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้สึกพวกที่มิใช่ภิกษุหกหมื่นรูป]


พระราชาทรงทราบว่า เหล่านี้ไม่ใช่ภิกษุ, เหล่านี้เป็นอัญเดียรถีย์
ก็เพราะพระองค์ได้ทรงเรียนเอาลัทธิมาก่อนนั่นเอง จึงพระราชทานผ้าขาวแก่
เธอเหล่านั้น แล้วให้สึกเสีย. เดียรถีย์เหล่านั่นแม้ทั้งหมดมีจำนวนถึงหกหมื่นคน.
ลำดับนั้น พระราชาทรงรับสั่งให้อาราธนาภิกษุเหล่าอื่นมา แล้วตรัส
ถามว่า
กึวาที ภนฺเต สมฺมาสมฺพุทฺโธ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ !
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลายทูลว่า วิภชฺชวาที มีปกติตรัสจำแนกมหาบพิตร !
เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสถามพระเถระว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิภัชชวาที ( มีปกติตรัส
จำแนกหรือ ? ) พระเถระทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! ลำดับนั้น
พระราชาทรงรับสั่งว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! บัดนี้ พระศาสนาบริสุทธิ์
แล้ว, ขอภิกษุสงฆ์จงทำอุโบสถเถิด ดังนี้ พระราชทานอารักขาไว้แล้ว เสด็จ
เข้าไปยังพระนคร. สงฆ์พร้อมเพรียงได้ประชุมทำอุโบสถแล้ว. ในสันนิบาต
นั้นมีภิกษุจำนวนถึงหกสิบแสนรูป.
* พวกภิกษุที่แสดงทิฏฐิความเห็นทั้ง 10 อย่างนี้ พึงดูพิสดารในพรหมชาลสูตร ทีฆนิกาย
สีลขันธกถา เล่ม 9 ตั้งแต่หน้า 18 ถึงหน้า68 เมื่อจำแนกออกโดยละเอียดก็ได้แก่ทิฏฐิ 62
นั่นเอง.